ไข้ไทฟอยด์ ไทฟอยด์, หรือไข้รากสาดน้อย (ภาษาอังกฤษ : Typhoid fever) คือ โรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลลาไทฟิ (Salmonella typhi) ที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำดื่มและอาหาร ผู้ป่วยจะมีไข้ในแต่ละวันสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นอาการเด่น ร่วมกับมีอาการอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องผูก ท้องเสียถ่ายเหลว
จุดสำคัญของ ไข้ไทฟอยด์ คือ ถ้าไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาด้วยยาปฏิชีวนะผู้ป่วยจะมีโอกาสเสียชีวิตได้ และผู้ติดเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการแสดง แต่เป็นพาหะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้
อาการของโรคไข้ไทฟอยด์
– มีไข้ต่ำ ๆ แล้วค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน อาจพุ่งสูงถึง 40.5 องศาเซลเซียสได้
– ปวดศีรษะ
– ไอแห้ง ๆ
– เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
– ปวดเมื่อยตามร่างกาย
– อ่อนเพลีย เซื่องซึม
– เหงื่อออก
– ผื่นขึ้นท้อง หรือหน้าอก
– ปวดท้อง ท้องเสีย หรือท้องผูก
สาเหตุของไข้ไทฟอยด์
เกิดจากการติดเชื้อไทฟอยด์ ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า “ซัลโมเนลลาไทฟิ” (Salmonella typhi) ซึ่งเชื้อชนิดนี้พบได้เฉพาะในคน
ความอันตรายของโรคไข้ไทฟอยด์
ตามปกติแล้วผู้ป่วยโรคไข้ไทฟอยด์สามารถหายได้ด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะจากแพทย์ แต่หากมีอาการรุนแรง หรือถึงมือแพทย์ช้า อาจเสี่ยงอาการแทรกซ้อนที่อันตรายได้ เช่น มีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร ระบบย่อยอาหาร หรือลำไส้ทะลุ ไข้สูงจนเป็นพิษ จนช็อกและอาจเสียชีวิตได้
โรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
– ปอดบวม
– เยื่อบุหัวใจอักเสบ
– กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
– ตับอ่อนอักเสบ
– เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
– เกิดการติดเชื้อในไตหรือกระเพาะปัสสาวะ
– เกิดปัญหาทางจิต เช่น อาการเพ้อคลั่ง อาการประสาทหลอน และโรคจิตหวาดระแวง
การรักษาโรคไข้ไทฟอยด์
หากพบแพทย์แล้ว ผู้ป่วยที่อาการไม่หนักจะได้รับยาไปรับประทานที่บ้าน รายที่มีอาการหนัก เช่น ไข้สูงมาก อ่อนเพลียมาก คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียหนักมาก ฯลฯ ก็จะแนะนำให้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล
ที่มา
ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่ francomurer.com