โควิด-19

แค่เข้มมาตรการป้องกัน 5 วัน ติดโควิด-19 ไม่ต้องกักตัว เริ่ม 1 ตุลาคม นี้

คณะกรรมการ โรคติดต่อแห่งชาติ ลงมติเห็นชอบ เปลี่ยนมาตรการ “โควิด-19” เป็นโรคเพียงโรคเฝ้าระวัง ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้เป็ยต้นไป เข้าประเทศไม่ต้องยื่น ผล ATK และเอกสารการฉีดวัคซีน หากไม่มีอาการ หรืออาการน้อย ไม่ต้องกักตัวอีกต่อไป และยังให้สิทธิการรักษาโรค เหมือนโรคทั่วไป แต่หากสถานการณ์กลับมารุนแรงอีกครั้ง ก็จะทำการประกาศ ให้เป็นพื้นที่โรคระบาด

นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้น การเปลี่ยนแปลงสำคัญ ในทางที่ดีเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อวานที่ผ่านมา คกก. ได้มีมติเห็นชอบ ปรับโรคติดต่อโควิด-19 จากโรคติดต่ออันตราย มาสู่โรคติดต่อ ที่ต้องเฝ้าระวัง เริ่ม 1 ตุลาคม 2565 นี้ และให้คนที่ติดโควิด มีอาการป่วยน้อย หรือไม่มีอาการใดๆ ให้เพียงแค่ ดำเนินมาตรการ ทางสุขอนามัย คือ ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างจากผู้อื่น เป็นเวลา 5 วัน

และในส่วนของ ประชาชนบุคคลทั่วไป ที่ไม่ได้เป็นผู้ป่วย ก็ขอความร่วมมือ ให้ป้องกันตัวเอง อย่างเหมาะสม และถูกต้อง โดยตรวจ ATK เมื่อมีอาการ ล้างมือบ่อยๆ และสวมใส่หน้ากากทุกครั้ง ในที่ที่ไม่มีอากาศถ่ายเท หรือในพื้นที่ ที่มีคนหนาแน่น และขอให้สถานประกอบการต่างๆ เคร่งคัดในการ คัดกรองพนักงานเป็นประจำ

โควิด-19
ซึ่งก็ถือว่ามาถูกทางกับแนวทาง “การอยู่ร่วมกับเชื้อโรค” แล้ว

และก็เข้ากับสถานการณ์การระบาดในขณะนี้ ที่เป็นขาลงต่อเนื่องอย่างชัดเจนด้วย แถมด้วยว่า คาดว่าวัคซีนโควิด-19 ในเด็กอายุ 6 เดือน – 4 ปี จะเริ่มฉีดช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้ ตามความสมัครใจของผู้ปกครองและเด็ก โดยไม่ได้เป็นเงื่อนไข ในการไปโรงเรียน แต่แนะนำให้เด็กทุกคน เข้ารับวัคซีน

เมื่อวันที่ 21 ก.ย.2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.) แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติว่า จากที่มีการประกาศปรับโรคโควิด-19 จากโรคติดต่ออันตรายเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ลำดับที่ 57 ตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558

ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2565 เป็นต้นไป ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ 2 เรื่องสำคัญ ประกอบด้วย 1.เห็นชอบแผนปฏิบัติการควบคุมโรคโควิด-19 รองรับการเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังตั้งแต่ต.ค. 2565 – ก.ย.2566 มียุทธศาสตร์ 4 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านการป้องกัน เฝ้าระวังและควบคุมโรค 2.ด้านการแพทย์และรักษาพยาบาล

3.ด้านการสื่อสารความเสี่ยง ประชาสัมพันธ์ และข้อมูลสารสนเทศ และ 4. ด้านบริหารจัดการ กฎหมาย สังคม และเศรษฐกิจ ซึ่งจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) ให้ความเห็นชอบต่อไป เพื่อให้ทุกจังหวัดจัดทำแผนปฏิบัติกาสอดคล้องกับแผนหลัก เพื่อให้เกิดความพร้อมทุกด้าน และติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

หากมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น อาจประกาศพื้นที่ โรคระบาดตามความจำเป็น และ 2.เห็นชอบมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 รองรับการเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง โดยยกเลิกแสดงเอกสารวัคซีนหรือผลการตรวจ ATK โรคโควิด-19 แต่ยังคงการเฝ้าระวังผู้เดินทางที่มีอาการป่วยของโรคติดต่ออันตรายหรือโรคติดต่ออุบัติใหม่, ปรับมาตรการแยกกักสำหรับผู้ป่วยอาการน้อย หรือผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการ ไม่ต้องกักตัว

แต่ให้ปฏิบัติตามมาตรการ DMHT คือ เว้นระยะห่าง ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ และตรวจให้ไวอย่างเคร่งครัด 5 วัน ส่วนประชาชนให้มีพฤติกรรมป้องกันตนเองอย่างถูกต้องเหมาะสม เช่น สวมหน้ากากในพื้นที่ที่มีคนหนาแน่น หรือเป็นพื้นที่อากาศไม่ถ่ายเท ล้างมือ และตรวจ ATK เมื่อมีอาการ,สถานประกอบการ ให้คัดกรองพนักงานเป็นประจำ

หากจำเป็นต้องตรวจ ATK ที่มีอาการโรคทางเดินหายใจก็ให้ดำเนินการ และCOVID-Free Setting ขึ้นกับการพิจารณา ของผู้บริหารดำเนินการ ตามความเหมาะสม นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมยังรับทราบอีก 4 เรื่อง คือ 1.แผนบริหารจัดการวัคซีน และการให้วัคซีนโควิด-19 ในเด็กอายุ 6 เดือน – 4 ปี คาดว่าเริ่มให้บริการได้ ช่วงกลางเดือนต.ค.2565

ตามความสมัครใจ ของผู้ปกครองและเด็ก โดยไม่ได้เป็นเงื่อนไขในการไปโรงเรียน แต่แนะนำให้เด็กทุกคนเข้ารับวัคซีน โดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจำตัว ที่มีความเสี่ยงต่อ การเกิดอาการรุนแรง หรือเสียชีวิต 2.แนวทางการใช้ Long Acting Antibody (LAAB) ของประเทศไทย ในประชาชนกว่า 3.5 พันคน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

หรือได้รับวัคซีนแล้ว แต่ภูมิคุ้มกันไม่ขึ้น เพื่อให้มีภูมิต้านทาน ต่อเชื้อก่อโรคโควิด-19 3.แนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย การดูแลรักษา และการป้องกันการติดเชื้อ ในโรงพยาบาล กรณีโรคโควิด-19 หลังการระบาดใหญ่ (Post-pandemic) ซึ่งสธ.ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมรองรับ เพื่อให้ประชาชน ยังสามารถใช้สิทธิการรักษา เช่นเดียวกับโรคทั่วไป

ทั้งการเข้าถึงการรักษาและได้รับยาต้านไวรัสตามแนวทางการรักษา รวมถึงการแยกกักผู้ป่วยที่สอดคล้องกับสถานการณ์ระยะต่อไป และ 4.โครงการการใช้ยาคลอโรควินเพื่อป้องกันและลดการแพร่เชื้อมาลาเรียชนิดพลาสโมเดียม ไวแวกซ์ ในพื้นที่ที่มีการระบาดบริเวณชายแดนไทย – เมียนมา

“สถานการณ์โรคโควิด-19 มีแนวโน้มดีขึ้นทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยกำลังรักษา ผู้ป่วยหนัก และผู้เสียชีวิตมีจำนวนลดลงต่อเนื่อง ประชาชนส่วนใหญ่มีภูมิต้านทานจากการฉีดวัดซีนโควิด-19 ครอบคลุมมากกว่า 82% และบางส่วนมีภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อ แต่ ยังคงมีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรคจำนวนหนึ่งที่ต้องขอให้มารับวัคซีน โดยมาตรการต่างๆที่ปรับเปลี่ยน เพื่อให้ประชาชนอยู่ร่วมกับโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย ภายใต้สมดุลด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง” นายอนุทินกล่าว

ขอบคุณ แหล่งที่มา : facebook “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์” / bangkokbiznews.com

สามารถอัพเดต ข่าวสารเรื่องราวต่างๆ ได้ที่ : francomurer.com